The Origins and Achievements of the Dhammachai International
Research Institute (DIRI)
The Dhammachai
International Research Institute (DIRI) - A Brief Overview of its Beginnings
and Accomplishments
The Dhammachai International Research Institute (DIRI) is a scholarly Buddhist research
institution established as a non-profit legal entity in Australia in 2008 and subsequently registered in New Zealand in 2009.
Its vision is to be at the forefront of Buddhist studies, delving into and disseminating an understanding of the original teachings and the fundamental truths of life. DIRI's mission encompasses:
1. Cultivating researchers focused on the original teachings of Buddhism as preserved in ancient texts and inscriptions.
2. Serving as a research institute for both the theoretical and practical aspects of the original
Buddhist teachings.
3. Collecting ancient Buddhist manuscripts, inscriptions, and artifacts.
4. Acting as a hub for Buddhist studies.
5. Preserving the pure teachings of Buddhism, with an emphasis on meditation practices.
6. Coordinating and fostering relationships with scholars worldwide.
สถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIR) เป็นสถาบันวิจัยวิชาการทางพุทธศาสนา จดทะเบียนในลักษณะนิติบุคคลไม่หวังผลกำไรที่ประเทศออสเตรเลียในปี
พ.ศ. ๒๕๕๑ และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลในประเทศนิวซีแลนด์ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒
มีวิสัยทัศน์ในการเป็นผู้นำทางพุทธศาสน์ศึกษาการศึกษาค้นคว้าในคำสอนดั้งเดิมและเผยแพร่ความเข้าใจในความจริงของชีวิต
มีพันธกิจคือ
๑.
บ่มเพาะนักวิจัยทางด้านคำสอนดั้งเดิมในพุทธศาสนานปรากฎอยู่ในคัมภีร์และจารึกต่างๆ
๒.
เป็นสถาบันวิจัยคำสอนดั้งเดิมทางพุทธศาสนาทั้งด้านทฤษฎีและปฏิบัติ
๓.
รวบรวมคัมภีร์จารึก และวัตถุโบราณทางพุทธศาสนา
๔.
เป็นศูนย์พุทธศาสน์ศึกษา
๕.
อนุรักษ์คำสอนบริสุทธิ์ทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะการปฏิบัติสมาธิภาวนา
๖.
ประสานงานและสร้างความสัมพันธ์กับนักวิชาการทั่วโลก
Luangpor
Dhammajayo firmly believes that, even in our era, it is entirely possible to
bring this mission to fruition. He sees it as a grand task, carried across
lifetimes, culminating in this very incarnation to fulfill this purpose.
These
words were imparted by Luangpor Dhammajayo on the occasion of establishing the
Dhammachai International Research Institute (DIRI), recorded on 7 April 2000.
สถาบันฯ ก่อตั้งขึ้นเพื่อสนองมโนปณิธานของหลวงพ่อธัมมชโย
ที่จะค้นหาหลักฐานธรรมกายอย่างเป็นระบบระเบียบทางวิชาการ
และเผยแพรให้โลกได้รับรู้ถึงความมีอยู่จริงของธรรมกายโดยมีเจ้าคุณพระสุธรรมญาณวิเทศ
วิ. (สุธรรม สุธมโม) เป็นผู้รับสนองมโนปณิธานมาปฏิบัติงานให้เป็นรูปธรรม
และหลวงพ่อก็เชื่อว่า
ในยุคเราสมัยเรานี่แหละ เราก็สามารถกระทำสิ่งนี้ให้มันปรากฎเกิดขึ้นมา
มันเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่ติดตัวเรามาข้ามชาติ จนกระทั่งชาตินี้แหละที่มาเกิดก็เพื่อการนี้
โอวาทหลวงพ่อธัมมชโย องค์สถาปนาสถาบันวิจัยนานาชาติธรรมชัย (DIRI)
ให้ไว้
ณ วันที่ ๗ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๓
If we can obtain evidence pertaining to the original teachings of
the Buddha, particularly related to the Dhammakaya knowledge, then we will
present this evidence to scholars worldwide. This will allow them to know, see,
understand, and accept the findings of our research, substantiated by
documented references. Such revelations will be of immense benefit to all of
humanity."
หลวงพ่อธัมมชโยกล่าวว่า
การค้นหาหลักฐานธรรมกายเป็นความตั้งใจของหลวงพ่อมายาวนานหลายสิบปีและกล่าวอีกว่า "คำว่าธรรมกายมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ และถูกเก็บไว้ตามภาษาต่างๆ
กระจัดกระจายกันไปทั่วโลกนอกเหนือจากภาษาบาลี
และหากว่าเรามีหลักฐานเกี่ยวกับคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า
เนื่องมากับวิชชาธรรมกายด้วยแล้ว
เราก็จะได้เอาหลักฐานนี้ไปแสดงเพื่อเปิดเผยให้กับนักวิชาการทั้งหลายในโลกนี้
ได้รู้ ได้เห็น ได้รับทราบ
และก็ยอมรับในสิ่งที่เราได้ค้นคว้าออกมาอย่างมีเอกสารอ้างอิง
จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ"
Prior to its official registration as a legal entity, Most Ven. Phrasudhammayanavidesa (Sudham Sudhammo) actively recruited professionals from various fields to form a working group dedicated to researching the Dhammakaya evidence. This group ventured into the international academic world by signing a memorandum of understanding with the University of Sydney, Australia, facilitated by Dr. Edward F. Crangle.
ก่อนหน้าที่จะมีการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เจ้าคุณหลวงน้า (พระปลัดสุธรรม สุธมฺโม ในขณะนั้น) ได้พยายามชักชวนบุคลากรจากวงการต่างๆ เข้าร่วมจัดตั้งเป็นกลุ่มปฏิบัติงานค้นคว้าหลักฐานธรรมกาย และเริ่มเข้าสู่วงการวิชาการนานาชาติด้วยการลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย จากการแนะนำของ ดร.เอ็ดเวิร์ด แครงเกิ้ล (Dr. Edward F.Crangle)
This
collaboration involved sending personnel to pursue various academic levels at
the University of Sydney, including Luangnah Sudhammo himself, Phra Kesorn
Yanawichai, Phra Mahamonchai Manthakomo (currently Dr. Mahamonchai Manthakomo),
and the layperson Ms. Chanida Jantrasrisalai (currently Dr. Chanida
Jantrasrisalai).
โดยการส่งบุคลากรเข้าศึกษาในระดับต่างๆ
ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ได้แก่ ตัวเจ้าคุณหลวงน้าเอง(พระปลัดสุธรรม สุธมโม ในขณะนั้น) พระเกษตร ญาณวิชฺโช พระมหามนต์ชัย มนฺตาคโม(ป.ธ.๖ ปัจจุบัน พระมหามนต์ชัย มนฺตาคโม ดร.) และอุบาสิกาชนิดา
จันทราศรีไศล (บ.ศ.๙ ปัจจุบัน ดร.ชนิดา จันทราศรีไศล)
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๖ หลังจากนั้นได้ส่ง อุบาสิกาสุปราณี
พณิชยพงศ์ (บ.ศ.๙ ปัจจุบัน ดร. สุปราณี พณิชยพงศ์
เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยซิดนีย์เป็นรุ่นถัดมา และใน พ.ศ. ๒๕๔๘ ได้ส่ง นายกิจชัย
เอื้อเกษม (ปัจจุบัน ดร.กิจชัย เอื้อเกษม) เข้าศึกษาตามลำดับ โดยมี ดร.เจฟ วิสสัน (Dr.
Jeff Wlson) เป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่คณะนักศึกษา
หลังจากนั้นเจ้าคุณหลวงน้าก็ได้คัดเลือกและส่งบุคลากรอีกหลายท่านเข้าศึกษาในระดับปริญญาโท
และปริญญาเอก ทั้งในมหาวิทยาลัยซิดนีย์และมหาวิทยาลัยอื่นๆ อีกหลายประเทศ เช่น
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ มหาวิทยาลัยวอชิงตันมหาวิทยาลัยออสโล มหาวิทยาลัยโอทาโก
มหาวิทยาลัยโคตมะพุทธะ (Gautam Buddha) ฯลฯ เพื่อสร้างบุคลากรเป็นรากฐานในการเข้าสู่วงวิชาการพุทธศาสน์ศึกษา
ในประเทศไทย กลุ่มทำงานดังกล่าวโดยการนำของเจ้าคุณหลวงน้า (พระปลัดสุธรรม สุธมฺโม ในขณะนั้น) ได้รับการสนับสนุนทางวิชาการจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ สุกัญญา สุดบรรทัด รองศาสตราจารย์ ดร.พรทิพย์ ดีสมโชค (วายชนม์) และ ดร.ศิริพร ศิริขวัญชัย เป็นผลให้การทำงานมีระเบียบทางวิชาการมากขึ้นจากที่ไม่มีพื้นฐานในแทบทุกด้านแต่อย่างใด
In
fostering relations within the academic sphere of Buddhist studies, the team
participated as observers in the 14th International Association of Buddhist
Studies (ABS) conference in London, England, in 2005. This marked the beginning
of Most Ven. Phrasudhammayanavidesa and his team of researchers' acquaintance
with leading global scholars in Buddhist studies.
ในส่วนการสร้างความสัมพันธ์กับวงวิชาการพุทธศาสน์ศึกษา ทางกลุ่มงานได้เข้าร่วมสังเกตการณ์ในการประชุมใหญ่สมาคมวิชาการพุทธศาสตร์นานาชาติ (ABS) ครั้งที่ ๑๔ ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่เจ้าคุณหลวงน้า (พระปลัดสุธรรม สุธมฺโม ในขณะนั้น) และคณะนักวิจัยได้รู้จักนักวิชาการชั้นแนวหน้าทางพุทธศาสน์ศึกษาระดับโลกในเวลานั้น
Later, in
2017, the Institute sent Dr. Chanida Jantrasrisalai as an official
representative to the 18th International Association of Buddhist Studies (IABS)
conference in Toronto, Canada. During this period, the institute also
continually sent representatives to participate in official academic
conferences at Gautam Buddha University in India, the University of Otago in
New Zealand, and other significant events, under the leadership of Most
Venerable Phrasudhammayanavidesa.
และต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ทางสถาบันฯ ได้ส่ง ดร.ชนิดา
จันทราศรีไศล
เป็นตัวแทนเข้าร่วมประชุมอย่างเป็นทางการในการประชุมใหญ่สมาคมวิชาการพุทธศาสตร์นานาชาติ
(IABS) ครั้งที่ ๑๘ ที่เมืองโตรอนโต
ประเทศแคนาดา ระหว่างนั้นสถาบันฯ
ก็ได้ส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมทางวิชาการอย่างเป็นทางการที่มหาวิทยาลัยโคตมะพุทธะ
ประเทศอินเดีย และมหาวิทยาลัยโอทาโก ประเทศนิวซีแลนด์ ฯลฯ
อีกหลายวาระอย่างต่อเนื่อง โดยมีเจ้าคุณหลวงน้าเป็นผู้นำคณะ
Achievement
in the academic world would have been unattainable without allies. Representing
the Institute, Most Ven. Phrasudhammayanavidesa has signed memorandums of
understanding for educational cooperation with over ten leading educational and
research institutions worldwide.
These
include the University of Sydney in Australia, University of Otago in New
Zealand, University of Kelaniya in Sri Lanka, University of Washington in the
United States, University of Oslo in Norway, Gautam Buddha University in India,
University of Cambridge in the United Kingdom, Sun Yat-sen University in the
People's Republic of China, Oxford Centre for Buddhist Studies in the United
Kingdom (currently changing affiliation), and Mahachulalongkornrajavidyalaya
University's Nan campus.
ความสำเร็จในวงวิชาการไม่อาจเป็นไปได้เลยหากปราศจากพันธมิตร
เจ้าคุณหลวงน้าในนามของสถาบันฯ จึงได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ
เพื่อความร่วมมือทางการศึกษากับสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัยทางการศึกษาชั้นนำในหลายประเทศกว่า
๑๐ สถาบัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย มหาวิทยาลัยโอทาโก
ประเทศนิวซีแลนด์ มหาวิทยาลัยเกลานิยา ประเทศศรีลังกา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน
ประเทศสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยออสโล ประเทศนอร์เวย์ มหาวิทยาลัยโคตมะพุทธะ (Gautam
Buddha) ประเทศอินเดีย มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ
มหาวิทยาลัยซุนยัดเซ็น สาธารณรัฐประชาชนจีน ศูนย์พุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยออกชฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ (ปัจจุบันกำลังเปลี่ยนสังกัด)
วิทยาเขตวิทยาลัยสงฆ์นครน่านเฉลิมพระเกียรติ (มจร.) ฯลฯ
These
collaborative efforts have granted the Institute access to vital academic
resources containing original Buddhist teachings and Dhammakaya evidence, such
as 2,000-year-old Birch bark manuscripts and ancient texts from the Mogao Caves
in Dunhuang, China.
บันทึกความร่วมมือต่างๆ นี้ทำให้ทางสถาบันฯ
มีโอกาสเข้าถึงแหล่งข้อมูลสำคัญๆ
ทางวิชาการที่บรรจุคำสอนดั้งเดิมทางพุทธศาสนาและหลักฐานธรรมกาย
ได้แก่คัมภีร์เปลือกไม้เบิร์ช อายุ ๒,๐๐๐ ปี
คัมภีร์โบราณจากถ้ำโม่เกา เมืองตุนหวางของจีน เป็นต้น
The
memorandum of understanding signed with the University of Otago in New Zealand
has also led to a collaborative effort in teaching Pali, Sanskrit, and Buddhist
studies at the university. The Institute provides support in the form of scholarships and
teaching personnel, including Associate Professor Dr. Chaisit Suwanvarangkul
(currently Phra Maha Chaisit Suwanvarangkul, Associate Professor) and lay
practitioner Prasong Somnoi (formerly a Bachelor of Arts in Sanskrit, now Dr.
Prasong Somnoi).
สำหรับบันทึกความร่วมมือที่ลงนามไว้กับมหาวิทยาลัยโอทาโก
นิวซีแลนด์ ยังก่อให้เกิดความร่วมมือในการสอนวิชาภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต และวิชาพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยดังกล่าวอีกด้วย
โดยทางสถาบันฯ เป็นผู้ให้การสนับสนุนทางด้านทุนการศึกษาและบุคลากรผู้สอน ได้แก่ ผศ.ดร.
ชัยสิทธิ์ สุวรรณวรางกูล (ปัจจุบัน พระมหาชัยสิทธิ์ สิทธิวณุโณ, ผศ. ดร.) และอุบาสิกาประสงค์ สมน้อย (บ.ศ.๙, ศศ.ม.
(สันสกฤต) ปัจจุบัน
ดร.ประสงค์ สมน้อย)
As the
institute gained recognition in the academic community and had been successful
in uncovering evidence of the Dhammakaya knowledge for some time, the Most Ven.
Phrasudhammayanavidesa, representing the Institute, organized an academic
seminar in 2014 at the Asian Institute of Technology (AIT) in Thailand. The
seminar featured Professor Dr. Zemaryalai Tarzi as a special lecturer,
presenting on "The History of Buddhism in Archaeological Perspectives."
เมื่อทางสถาบันฯ เป็นที่รู้จักในวงวิชาการและมีผลงานในการหาหลักฐานธรรมกายได้ระยะหนึ่ง เจ้าคุณหลวงน้า (พระครูวิเทศสุธรรมญาณในขณะนั้น) ในนามสถาบันฯ ได้จัดการสัมมนาทางวิชาการขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่ศูนย์ประชุมสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ประเทศไทย โดยมีศาสตราจารย์ ดร. เซมาร์ยาไล ทาร์ซี (Zemaryalai Tarzi) เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในมุมมองทางโบราณคดี "History of Buddhism in Archaeological Perspectives"
และตามด้วยพิธีลงนามความร่วมมือการอนุรักษ์พุทธโบราณสถาน Mes
Aynak ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมและข้อมูลประเทศอัฟกานิสถาน และสถาบันฯ
จากนั้นศาสตราจารย์ ดร.เคท ครอสบี (Kate Crosby) บรรยายในหัวข้อ
การสูญหายของการทำสมาธิวิชชาธรรมกายแบบโบราณระหว่างการปฏิรูปสมัยใหม่
ส่วนนักวิจัยของสถาบันฯ ได้บรรยายในหัวข้อหลักฐานวิชชาธรรมกายในคันธาระ เอเชียกลาง
และจีน กับผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับการปฏิบัติสมาธิวิชชาธรรมกายและแบบโบราณ
In 2019,
Most Ven. Phrasudhammayanavidesa and the Institute organized lectures at the
University of Sydney and the University of Otago, featuring the esteemed
Professor Garry W. Trompf who spoke on "Breakthroughs in the Discovery of
Ancient Religious Manuscripts."
Amidst the global COVID-19 crisis, under the leadership of Most Ven. Phrasudhammayanavidesa, the Institute relentlessly continued its academic endeavors. They hosted a series of online seminars known as the "Dhammachai Zoominar Series" from 12-30 April 2021. These sessions were graced by lectures from world-renowned scholars such as Dr. Jeff Wilson, D.E. Osto, Dr. Arvind Kumar Singh, Dr. Yojana Bhagat, Professor Richard Salomon, Professor Anand Singh, Dr. Stefan Baums, Professor Mark Allon, Professor Michael Zimmermann, Dr. Imre Galambos, and Dr. Lina Verchery. This significant
initiative demonstrated the Institute's esteemed standing in the field of Buddhist studies.
ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ เจ้าคุณหลวงน้าและสถาบันฯ
ได้จัดให้มีการบรรยายที่มหาวิทยาลัยซิดนีย์และมหาวิทยาลัยโอทาโก
โดยได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.แกรี่ ทรัมปฟ์ (Garry
W. Trompf) เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ "A Breakthroughs
in the Discovery of Ancient Religious Manuscripts" ในวิกฤตโควิด
๑๙ ระบาดทั่วโลก สถาบันฯ
โดยการนำของเจ้าคุณหลวงน้ายังดำเนินงานด้านวิชาการอย่างไม่หยุดยั้ง
ได้จัดการบรรยายทางวิชาการทางชุม (Zoom) หรือ
ดีรี่ซูมมินาร์ซีรีย์ ในระหว่างวันที่ ๑๒ - ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยได้รับเกียรติบรรยายในหัวข้อต่างๆ
จากวิทยากรชั้นนำของโลก เช่น ดร. เจฟ วิลสัน (Jeff Wilson) ดร.
ออสโต (D.E. Osto) ดร. อรวินท์ กุมาร ซิงห์ (Arvind
Kumar Singh) ดร.โยชนา ภาคัต (Yojana Bhagat) ศ.ดร.ริชาร์ด
ซาโลมอน (Richard Salomon ศ. ดร. อนันท์ ชิงห์ (Anand
Singh) ดร. สเตฟาน บวามส์ (Stefan Baums) ศ.ดร.มาร์ค
แอลลอน (Mark Allon) ศ.ดร.ไมเคิล ซิมเมอร์มาน (Michael
Zimmermann) ดร.อิมเร กาลัมบอส (Imre Galambos) ดร.ลีนา เวอร์เชรี (Lina Verchery) นับเป็นก้าวสำคัญที่แสดงถึงการเป็นที่ยอมรับของสถาบันฯ
ในวงวิชาการพุทธศาสน์ศึกษา
อีกหนึ่งผลงานที่เจ้าคุณหลวงน้ามีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
คืองานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
เป็นการค้นพบบันทึกในคัมภีร์พุทธจีนโบราณอายุพันกว่าปีจากตุนหวงบนเส้นทางสายไหม
ชื่อคัมภีร์ "โฝวซัวกวนจิง 佛說觀經 พบเนื้อหา สอนการทำสมาธิแบบวางใจนิ่งๆ เฉยๆ ไว้กลางนาภี (ท้อง) เมื่อใจรวมหยุดนิ่ง เป็นเอกคตารมณ์ จะมีองค์พระผุดช้อนขึ้นมาให้เห็นในสมาธิ ซึ่งถือว่าทั้งหลักการ วิธีการ และประสบการณ์ มีความสอดคล้องกับในวิชชาธรรมกาย
หลังจากที่เจ้าคุณหลวงน้าถวายรายงานขึ้นไป
ทำให้ครูบาอาจารย์เกิดความปีติมากที่มีหลักฐานยืนยันให้เราชาวพุทธ
และชาวโลกทราบว่า วิชชาธรรมกายมีอยู่จริง
Over the
past 22 years, under the leadership of Most Ven. Phrasudhammayanavidesa, the
Institute's diligent pursuit of Dhammakaya evidence has culminated in a
collection of findings. These can be explored in the upcoming exhibition
showcasing the Dhammakaya evidence in ancient Buddhist scriptures.
ผลงานการค้นหาหลักฐานธรรมกายตลอด ๒๒
ปีที่ผ่านมาของสถาบันฯ
โดยการนำของเจ้าคุณหลวงน้านั้นสามารถศึกษาได้จากนิทรรศการหลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณในบทต่อไป
ผลงานการค้นหาหลักฐานธรรมกายชิ้นสำคัญของเจ้าคุณหลวงน้า
คือการพบคัมภีร์ใบลาน"พระธัมมกายาทิ" ฉบับเทพชุมนุม ซึ่งรัชกาลที่ ๓ พระราชทานไว้กับวัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพฯ ภายใต้ความเมตตาอนุเคราะห์ของ
พระเทพวัชราจารย์ (เทียบ สิริญาโณ ป.ธ.๙, ผศ. ดร.)
และด้วยความเมตตาประสานงานของ พระมหาอุดม ปัญญาโภ
Upon the
manuscript's discovery, Most Ven. Phrasudhammayanavidesa, alongside a team of
researchers from the Institute, advised by the esteemed Ajarn Chaeom Kaewklai,
embarked on a meticulous translation. They painstakingly transcribed the
ancient Khmer script into modern Thai and translated the Pali language into
contemporary Thai. This monumental task also involved an in-depth analysis of
the content, the findings of which are accessible through the Institute's
publications.
เมื่อพบคัมภีร์แล้วเจ้าคุณหลวงน้าและคณะนักวิจัยของสถาบันฯ
ภายใต้คำปรึกษาของอาจารย์ชะเอม
แก้วคล้ายได้ปริวรรตเนื้อหาที่เขียนด้วยอักษรขอมเป็นอักษรไทยปัจจุบัน
และแปลภาษาบาลีเป็นภาษาไทยปัจจุบัน พร้อมทั้งมีบทวิเคราะห์เนื้อหาซึ่งสามารถหาอ่านได้จากสื่อของสถาบันฯ
This scholarly endeavor revealed that the concept of
"Dhammakaya" has been recognized in Thai Buddhist society at least
since the early Rattanakosin era.
งานวิจัยนี้ทำให้ทราบได้ว่า"ธรรมกาย " เป็นที่รู้จักในสังคมพุทธศาสนาของไทยมาแล้วอย่างน้อยในต้นยุครัตนโกสินทร์
Subsequently, Most Ven. Phrasudhammayanavidesa and the institute's
researchers, including Mr. Woramat Malasart, discovered several more palm-leaf
manuscripts detailing the Dhammakaya incantations. The Institute found
variations in the details of these manuscripts, prompting a thorough review and
purification process. They then published the refined version of the Dhammakaya
incantations, complete with Romanized script and English translations.
ต่อมาเจ้าคุณหลวงน้าและนักวิจัยของสถาบันฯ
อันได้แก่คุณวรเมธ มลาศาสตร์ได้พบคัมภีร์ใบลานว่าด้วยคาถาธรรมกายอีกหลายฉบับ
ทางสถาบันฯ พบว่ามีความแตกต่างในรายละเอียดของคัมภีร์ต่างๆ นั้น
จึงได้จัดให้มีการตรวจชำระขึ้นและจัดพิมพ์เผยแพร่คาถาธรรมกายฉบับตรวจชำระดังกล่าวพร้อมทั้งบทปริวรรตอักษรโรมัน
และคำแปลภาษาอังกฤษ
The
latest research breakthrough came from upasika Prasong Somnoi of the Institute.
She published the "Analysis and Study of the Kantawayuhasutra
Manuscript," revealing that this ancient scripture, possibly predating 500
B.E., contains multiple references to "Dhammakaya" along with its
meanings.
ล่าสุดนักวิจัยของทางสถาบันฯ อุบาสิกาประสงค์ สมน้อย
ได้นำงานวิจัย "การศึกษาวิเคราะห์คัมภีร์คัณทวยูหสูตร"
ออกเผยแพร่ ทำให้ทราบว่าคัมภีร์โบราณ
คัณฑวยูหสูตรที่อาจมีอายุเนื้อหา ก่อน พ.ศ. ๕๐๐ บรรจุคำว่า ธรรมกาย
พร้อมทั้งความหมายของคำว่าธรรมกายอยู่หลายแห่ง
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่รอการค้นคว้า เรียบเรียง
และเผยแพร่อีกหลายชิ้นด้วยความมีศรัทธาในเจ้าคุณหลวงน้าของญาติโยม ได้มีเจ้าภาพในประเทศนิวซีแลนด์ถวายชิ้นส่วนคัมภีร์โบราณจากบามิยันบรรจุข้อความทางพุทธศาสนาไว้ให้กับทางสถาบันฯ
จำนวน ๑๐ ชิ้น เจ้าคุณหลวงน้าตั้งชื่อว่า DIRI Collection พบว่าเป็นภาษาคานธารี
๒ ชิ้น อายุราว ๑,๓๕๐ - ๑,๘๕๐ ปี และอีก ๘ ชิ้นเป็นภาษาสันสกฤต อายุราว ๑,๗๐๐
- ๑,๘๐๐ ปี
These
ancient fragments hold untold secrets of the past. Some of these pieces are
critical missing links, which could significantly enhance the existing research
on the Bamiyan manuscripts conducted by Western scholars. The rest of the
collection promises to unlock further mysteries, leading to new avenues of
study and research in the intricate world of Buddhist history and philosophy.
จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า
บางชิ้นเป็นส่วนสำคัญที่ขาดหายไป สามารถนำไปเติมเต็มในงานวิจัยคัมภีร์บามิยันที่ทำไว้ก่อนหน้าแล้วโดยนักวิชาการตะวันตก
ส่วนชิ้นอื่นๆ จะได้ทำการศึกษาวิจัยต่อไป
ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ทางเจ้าคุณหลวงน้า ในนามสถาบันฯ
ได้ส่งเสริมการฟื้นฟูคาถาธรรมกายในชีวิตประจำวันโดยร่วมมือกับมูลนิธิใจกลางเจดีย์ในการสร้างแผ่นจารึกคาถาธรรมกายด้วยทองคำขึ้นเพื่อประดิษฐานไว้ใน "ครรโภทร" (ท้องของพระเจดีย์)
หรือในองค์ระฆังของพระเจดีย์ของพระธาตุดอยกาหลง ซึ่งเป็นพระธาตุเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้ากือนาธรรมิกราชเมื่อ
๖๓๓ ปีก่อน
โดยทางมูลนิธิใจกลางเจดีย์ได้เป็นประธานอำนวยการในการบูรณะขึ้นเมื่อระหว่าง พ.ศ.
๒๕๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๕
ทางสถาบันฯ
ได้มอบต้นแบบคาถาธรรมกายที่ชำระตรวจสอบแล้วอย่างสมบูรณ์
ให้กับคณะทำงานของมูลนิธิใจกลางเจดีย์เพื่อนำไปเป็นต้นแบบในการจารึกจนสำเร็จงดงาม
ถือเป็นการเชื่อมรอยต่อประวัติศาสตร์ของคาถาธรรมกายจากยุคปัจจุบันไปสู่อนาคต
กล่าวคือเป็นการบรรจุคาถาธรรมกายตามแบบอย่างที่มีการบรรจุคาถาธรรมกายไว้ในเจดีย์พระศรีสรรเพชญ์
วัดพระเชตุพนฯ กรุงเทพ เมื่อ ๒๐๐ ปีที่แล้ว นอกจากนี้ทางมูลนิธิฯ ได้ส่งเสริมให้มีการสวดคาถาธรรมกายเป็นประจำด้วย
ในส่วนของพันธ์กิจของสถาบันฯ ด้านการเผยแพร่ผลการค้นคว้าหาหลักฐานธรรมกายทางสถาบันๆ
ได้นำงานวิจัยที่เป็นเนื้อหาวิชาการมาสปและย่อความเพื่อให้คนทั่วไปส
ามารถเข้าถึงและเข้าใจได้ บรรจุในเว็บไซต์ของสถาบันฯ ชื่อ w.w.diri.ac.nz
พบว่าในปีแรกมีผู้เข้าใช้งานเฉลี่ย ๘,๕๐๐
คนต่อเดือน (๑๐๒,๐๐๐ ต่อปี
และมีจำนวนผู้เข้าชมสูงขึ้นในปีที่สองถึง ๑๒๐,๐๐๐ คน ต่อเดือน
(๑,๔๐๐,๐๐๐ ต่อปี)
มีผู้เข้าใช้ส่วนใหญ่จากประเทศอินเดีย ประเทศไทย ประเทศกัมพูชาและประเทศสิงคโปร์
โดยพบว่า ๕๕% เป็นคนนอกวัด
สถาบันฯ ได้รับการสนับสนุน และรับรองเชื่อถือจาก Google เป็นสถาบันทางการศึกษา (Higher Education : Case No. 14915700) ในประเทศนิวซีแลนด์ อนุญาตให้ทางสถ าบันฯ สามารถใช้ทรัพย
ากรและเทคโนโลยีซอง Google คือ G Suite for Education
ได้
ปัจจุบันสถาบันฯ มีสถานที่ตั้งถาวรอยู่ที่เมืองดันนีดิน (Dunedin)
ประเทศนิวซีแลนด์ มีนักวิจัยระดับปริญญาเอกและปริญญาโท
ทำงนเต็มเวลาและนอกเวลารวม ๑๖ ท่าน ผู้ช่วยนักวิจัยด้านเทคนิคและวิชาการเต็มเวลาและนอกเวลารวม
๑๐ ท่าน และบุคลากรประจำสำนักผู้อำนวยการ ๔ ท่าน
มีคณะที่ปรึกษาซึ่งเป็นนักวิชาการชั้นแนวหน้าหลายท่านได้แก่ ศาสตราจารย์
คร.เซมาร์ยาไล ทาร์ซี (Zemaryalai Tarzi) ดร. มาร์ต แอลลอน (Mark
Allon) ศาสตราจารย์ ดร. วิล สวีทแมน ดร. เอ็ดเวิร์ด แครงเกิ้ล (Edward
F. Crangle) รองศาสตราจารย์ ดร.อนันท์ ซิงห์ (Anand Singh) ผศ. ดร, อรวินท์ กุมาร ซิงห์ (Arind Kumar
Singh) ดร, เอลิซาเบธ กูธรี่ (Elizabeth
Guthrie) อ. ชะเอม แก้วคล้าย และ ดร. เกียรติภูมิ รอดพันธ์
สถาบันฯ
ยังให้การสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่อพัฒนาบุตลากรให้เป็นนักวิจัยทางพุทธศาสน์ศึกษาอยู่หลายท่านในหลายประเทศอันเป็นแหล่งข้อมูล
คำสอนดั้งเดิม เช่น ประเทศเยอรมนี ประเทศอังกฤษประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศอินเดีย
สาธารณรัฐประชาชนจีน และประเทศกัมพูชา
The
Institute possesses a wealth of primary sources and Buddhist artifacts from
various regions across Asia, Europe, and America, including several
institutions that house invaluable ancient manuscripts. In a relentless pursuit
to adhere to the policy set forth by Luangpor Dhammajayo for the continuous
search for Dhammakaya evidence, the Institute, under the stewardship of the
Most Ven. Phrasudhammayanavidesa, has initiated a project to recruit and
develop researchers focused on original teachings and Dhammakaya evidence.
สถาบันๆ มีข้อมูลพื้นที่ที่เป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิและ
หลักฐานพุทธศาสนาอีกหลายแห่งทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และ อเมริกา รวมถึงสถ
าบันต่างๆ ที่เก็บรวบรวมคัมภีร์โบราณที่ทรงคุณค่าไว้อีกหลายแห่ง
และเพื่อเป็นการสนองนโยบายของหลวงพ่อธัมมชโยในการค้นหาหลักฐานธรรมกายต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
สถาบันฯ โดยเจ้าคุณหลวงน้าจึงได้เริ่มโครงการรับนักวิจัยและพัฒนานักวิจัยคำสอนดั้งเดิม
และหลักฐานธรรมกาย
In the
near future, the Institute aims to nurture scholars well-versed in the
languages of both ancient manuscripts and modern dialects relevant to the
aforementioned sources. This endeavor is an ambitious one, requiring
significant support in terms of personnel and funding. The Institute hopes to
attract benefactors who share the faith in Most Venerable
Phrasudhammayanavidesa and his mission, to see this project to fruition.
โดยจะรับสมัครผู้สนใจในอนาคตอันใกล้ มีจุดมุ่งหมายที่
จะบ่มเพาะนักวิชาการให้มีคุณสมบัติเหมาะกับแหล่งข้อมูลที่กล่าวถึงไม่ว่าในด้านภาษาของคัมภีร์โบราณหรือภาษาที่ใช้กันในปีจจุบันในแหล่งข้อมูลต่างๆนั้น
จึงหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนโครงการที่ยังค้างอยู่นี้ ทั้งทางด้านบุคลากรและงบประมาณ
จากท่านผู้ใจบุญมีศรัทธาในเจ้าคุณหลวงน้าให้สำเร็จลุล่วงต่อไป
Exhibition: Ancient
Evidences of Dhammakaya in Buddhist Scriptures
นิทรรศการ
หลักฐานธรรมกายในคัมภีร์พุทธโบราณ